ลองขับกระบะน้องใหม่ MG EXTENDER ใหญ่บึก ลุยได้ทุกเส้นทาง

0

MG ค่ายยักษ์ใหญ่จากประเทศจีน หวังกวาดเรียบทุกเซ็กเม้นท์ หลังจากกระโดดเข้ามาขอแชร์ส่วนแบ่งในตลาดรถกระบะในประเทศไทย โดยเปิดตัวรถกระบะคันแรกของค่ายซึ่งก็ได้รับความสนใจมากทีเดียวกับชื่อ NEW MG EXTENDERครั้งนี้เราได้มีดอกาศไปทดลองขับกันมาดูกันว่ามันดีพอที่จะเข้ามาแชร์ตลาดรถกระบะในไทยหรือไม่

NEW MG EXTENDER มี 9 รุ่นย่อยครอบคลุมทั้งแบบกระบะตอนครึ่ง (Giant Cab) และแบบ 4 ประตู (Double Cab) ระบบส่งกำลังแบบธรรมดาและแบบอัตโนมัติ 6 จังหวะ ซึ่งมีให้เลือกทั้งระบบขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อ (2WD) และแบบ 4 ล้อ (4WD)

NEW MG EXTENDER แตกต่างด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่นด้วยกระจังหน้าแบบโมเดิร์นดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเอ็มจี พร้อมมิติตัวถังขนาดใหญ่โดยมีทั้งแบบกระบะตอนครึ่ง (Giant Cab) ที่มีความยาวกระบะท้ายถึง 1,900 มิลลิเมตร เค้าเคลมว่ายาวที่สุดในรถระดับเดียวกันและทำให้เพิ่มปริมาณการบรรทุกได้มากยิ่งขึ้น และแบบ 4 ประตู (Double Cab) ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ (Projector) พร้อม Daytime Running Lights บันไดข้าง และกล้องมองหลังพร้อมเซนเซอร์ขณะถอย ติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานตั้งแต่ในรุ่น Giant Cab แบบยกสูง

ภายในสร้างความรู้สึกแข็งแกร่งสอดคล้องกับรูปลักษณ์ภายนอกโดยใช้โทนสีเข้มและเพิ่มความเรียบหรูด้วยวัสดุให้สัมผัสนุ่ม (SOFT TOUCH) พร้อมแผงหน้าปัดดีไซน์สปอร์ต นอกจากนี้ ยังมาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น หน้าจอสีระบบสัมผัสขนาดใหญ่ 10 นิ้ว กุญแจระบบ Smart Key พร้อมปุ่ม Push Start และระบบปรับอากาศอัตโนมัติ โดยในรุ่น Double Cab ยังมาพร้อมเบาะปรับไฟฟ้าคู่หน้า เบาะหลังพับได้ และช่องปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง

เราไม่รอช้ากระโดดขึ้นรถ NEW MG EXTENDER จัดไปลองขับบนเส้นทางออพโรดก่อนเลย โดยจะใช้รถ NEW MG EXTENDER รุ่น GRAND X เกียร์อัตโนมัติ ขับเคลื่อน 4 ล้อ ตัวท็อปสุดในรุ่น ที่มีเบาะนั่งคู่หน้าปรับด้วยไฟฟ้า 6 ทิศทาง และออฟชั่นอื่นๆแบบจัดเต็ม สัมผัสแรกที่ได้ลองไปนั่งหลังพวงมาลัย นั่งสบายดีเบาะนิ่มกระชับตัว วัสดุอุปกรณ์ และการประกอบดูดีมีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ไปลุยกันด้านหน้าเราเป็นเส้นทางแบบเนินสลับซึ่งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อของ NEW MG EXTENDER สามารถทำงานได้ดีถ่ายทอดกำลังในล้อที่ลื่นหมุนฟรีไปยังล้อที่สัมผัสกับพื้นผิวถนนจึงทำให้ขับผ่านมาได้แบบสบาย

ขับต่อมาเจอกับทางขึ้นเนินซึ่งค่อนข้างชันแถมยังเป็นหินลอย และลื่นเพราะฝนตก แต่เจ้า NEW MG EXTENDER มีแรงบิดที่ดีสามารถใช้รอบเดินเบาค่อยๆไต่ขึ้นเนินชันได้อย่างสบาย หลังจากนั้นจึงขับข้ามมาอีกฝั่งของสนามแล้วปรับเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนจาก 2H เป็น 4 H โดยไม่ต้องหยุดรถ และด้านหน้าของเราคือเนินดินจำลองที่สูงชัน ขับขึ้นไปและเบรกค้างระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System) ทำงานทันทีไม่มีไหลลงแน่นอน แต่จะหยุดนิ่งบนเนินอยู่ประมาณ 2-3 วินาที ช่วยเราเท่านั้นหลังจากนั้นรถจะไหลลง

ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน HDC (Hill Descend Control System) ทำงานช้าไปนิดนะเล่นซะเสียววูบเลย ลงมาช่วงแรกอย่างเร็วคิดในใจว่าซวยแล้วกรู ให้เราเสียวได้แปปเดียวระบบทำงานตัวรถค่อยๆไหลลงมาแบบชิลล์ๆ ปลอดภัย ระบบมันทำงานช้ากว่าค่ายอื่นๆเค้าเล็กน้อยก็แค่นั้นเดี๋ยวก็ชิน ลงจากเนินมาเจอบ่อน้ำ เจ้าNEW MG EXTENDER สามารถลุยน้ำได้สูง 50 ซม.ซึ่งมันน้อยกว่าคู่แข่ง

ออกมาจากเส้นทางออพโรด มาลองขับบนถนนเรียบๆบ้างโดยเราเปลี่ยนมาใช้ NEW MG EXTENDER รุ่น GRAND X เกียร์อัตโนมัติ ยกสูงขับเคลื่อน 2 ล้อ ลองอัตราเร่งกันเลย เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร 161 แรงม้า วิ่งทางตรงช่วงออกตัวทำได้พอใช้ไม่ได้แรงถึงขนาดดึงหลังติดเบาะแต่ก็ไม่ได้อืดมากนะครับ เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดทำได้น่าพอใจลื่นไหลต่อเนื่องดีครับ

วิ่งตรงมาถึงจุดเบรกความเร็วมาที่ประมาณ 80 กม/ชม. กดเบรกเต็มที่ระบบเบรกของ NEW MG EXTENDER สามารถหยุดชะลอความเร็วจนหยุดสนิทได้น่าพอใจไม่มีอาการปัดเป๋ของตัวรถ ขับเป็นทางโค้งสลับซ้าย-ขวา แถมมีโค้งแคบเกือบยูเทิร์นด้วย ผมมาด้วยความเร็วประมาณ 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โยนเค้าโค้งไปเลยตัวรถมีอาการโยนและโคลงเล็กน้อย อาจเพราะด้วยความเร็วที่เกินกำหนด

โดยรวมผมชอบเพราะมันนิ่งหนึบดีแถมควบคุมง่าย พวงมาลัยน้ำหนักกำลังดีไม่หนักและเบาเกินไป ถือว่าเป็นรถกระบะที่มีช่วงล่างเด่นสู้เจ้าตลาดได้เลย หรืออาจจะข่มเจ้าตลาดอยู่เล็กน้อย เพราะโช็คอัพของ NEW MG EXTENDER ใช้แบรนด์ Sachs มาเป็น OEM และให้ยาง Bridgestone Duller H/T 245/60R18 ติดรถมาจากโรงงานเลย ผ่านทางโค้งมาจะมาเจอพื้นผิวถนนที่มีเชือกเส้นใหญ่วางพาดสลับไปมา ทดลองขับวิ่งรูดไปเลยจ้าระบบกันสะเทือนและการเก็บเสียงของ NEW MG EXTENDER ให้ความนุ่มนวลพอสมควร

ช่วงล่างของ NEW MG EXTENDER ระบบกันสะเทือนด้านหน้าอิสระปีกนกคู่ (Double Wishbone) ด้านหลังแหนบแบบซ้อนแผ่น (Leaf Spring Suspension) ทำงานควบคู่กับช่วงล่างแบบ BRIT Dynamic ซึ่งจะให้ความนุ่มนวลในการขับขี่ในความเร็วต่ำ และให้ความมั่นคงในการขับขี่ที่ความเร็วสูง

เครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล ไดเร็คอินเจ็คชั่น 2.0 ลิตร เทอร์โบ แปรผัน ให้กำลังสูงสุด 161 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิด 375 นิวตันเมตร พร้อมระบบส่งกำลังแบบอัตโนมัติ และแบบธรรมดา 6 จังหวะ ที่สามารถปรับรูปแบบการขับขี่ได้ทั้ง ECO และ POWER เพื่อตอบสนองทุกการใช้งาน ทำหน้าที่ได้ดีอัตราเร่งใช้ได้เลย ระบบส่งกำลังลื่นไหลต่อเนื่องดีครับ

แถมเจ้า NEW MG EXTENDER มาพร้อมระบบปฏิบัติการ i–SMART เอกสิทธิ์เฉพาะสำหรับผู้ใช้รถยนต์เอ็มจี ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่กับรถสามารถเชื่อมต่อกันได้ เพื่อความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การสั่งการ หรือ SMART Command ผ่านระบบสั่งการด้วยเสียงภาษาไทย ที่สามารถสั่งการให้โทรออก เปิด-ปิดหรือควบคุมระบบปรับอากาศ หน้าต่างฝั่งคนขับ ตลอดจนวิทยุภายในรถ รวมทั้งค้นหาจุดสนใจ นอกจากนี้ยังสามารถควบคุมหรือสั่งการระบบต่างๆ ผ่านหน้าจอทัชสกรีนภายในรถ หรือเลือกสั่งการบนสมาร์ทโฟนผ่าน MG Mobile Application การเชื่อมต่อ หรือ SMART Connect ที่สามารถเลือกฟังเพลงผ่าน Online Music ค้นหาร้านอาหารและที่พัก รวมทั้งเรียกดูข้อมูลข่าวสารและเหตุการณ์ปัจจุบันจากเว็บไซต์ดังได้บนหน้าจอในรถ และการตรวจเช็กรถ หรือ SMART Check โดยสามารถสั่งล็อกหรือปลดล็อกประตู ตรวจสอบตำแหน่งและค้นหารถ แจ้งความผิดปกติ และแจ้งสถานะการทํางานของรถ รวมถึงระบบช่วยค้นหาศูนย์บริการ นัดหมาย และบันทึกการดูแลรักษารถยนต์ตามระยะ ระบบความปลอดภัยครบครัน NEW MG EXTENDER มาพร้อมโครงสร้างตัวถังแบบ FSF (Full Space Frame) แบบ Ultra-high Strength Body ด้วยโครงสร้างที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง Thermoforming Steel ในบริเวณเสา A ไปจนถึงเสา B และโครงสร้างโดยรวมใช้เหล็กแบบ High Strength Steel ที่มีความแข็งแกร่งสูง ช่วยเพิ่มความปลอดภัย และเสริมความมั่นคงในการขับขี่ พร้อมรับทุกสภาพการใช้งาน และปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วยดิสก์เบรก 4 ล้อ และระบบความปลอดภัยมาตรฐานยุโรป Advanced Synchronized Protection System ที่ทำงานประสานเป็นหนึ่งเดียว ประกอบด้วย

  • ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกฉุกเฉิน ABS (Anti-lock Braking System)
  • ระบบช่วยเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist)
  • ระบบช่วยกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake Force Distribution)
  • ระบบควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System)
  • ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System)
  • ระบบตรวจสอบความผิดปดติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System)
  • ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System)
  • ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน HDC (Hill Descend Control System)
  • ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection)
  • ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning System)
  • กุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer
  • ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ถุงลมนิรภัยด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัยรวม 6 ตำแหน่ง
  • กล้องมองภาพรอบทิศทาง
  • สัญญาณเตือนกะระยะด้านหลังและด้านหน้า และกล้องมองหลังช่วยเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่

ราคาจำหน่ายเริ่มตั้งแต่ 549,000 – 1,029,000 บาท ซึ่งมองว่าMG คงเน้นไปที่ตลาดตัวกระบะตอนครึ่งซะมากกว่าเพราะด้วยราคาและบอดี้ที่ใหญ่กว่าคู่แข่ง ซึ่งผมเชื่อเลยว่าสามารถแบ่งมาร์เก็ตแชร์ในรุ่นล่างถึงกลางอย่างหัวเดียว และตอนครึ่งได้อย่างแน่นอน แต่พอมาเป็นรุ่นท็อป 4 ประตู ราคาตั้งเท่ากับเจ้าตลาดซึ่งมันน่าจะเป็นเรื่องยากพอควรจะจะจูงใจให้เปลี่ยนจากแบรนด์ยักษ์ใหญ่ แต่เมื่อดูรูปทรง ขนาด ออฟชั่น วัสดุอุปกรณ์ต่างๆที่ให้มาก็มีลุ้นอยู่เหมือนกันเราต้องรอดูกันต่อไปอาจจะมีโปรโมชั่นจัดหนักให้ลูกค้าหลังจากนี้ก็เป็นได้ เรื่องความคุ้มค่าผมว่ามันคุ้มค่าน่าสนใจทีเดียวครับ

 

Comments are closed.