Aston Martin Vantage & DBS Superleggera 007 Edition

0

ค่ายยนตรกรรมสปอร์ตสัญชาติอังกฤษ Aston Martin ฉลองครบรอบ 25 ปีภาพยนตร์ James Bond ด้วยการส่ง 2 ตัวแรงรุ่นพิเศษ 007 Special Editions ที่มีแรงบันดาลใจมากจากภาพยนตร์ James Bond ตอนล่าสุดที่กำลังจะเข้าฉายอย่าง “No Time to Die” ซึ่งมีข่าวว่าในภาพยนตร์มีการใช้รถ Aston Martin ถึง 4 รุ่นด้วยกัน คือ โมเดลระดับตำนานอย่าง Aston Martin DB5, โมเดลคลาสสิคอย่าง Aston Martin V8 ตามด้วยตังแรงอย่าง Aston Martin DBS Superleggera และ Hypercar เครื่องยนต์วางกลางสุดล้ำอย่าง Aston Martin Valhalla

และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เกิดการร่วมมือ เพื่อสร้างรุ่นพิเศษขึ้นมาโดย 2 องค์กรหลักอย่าง Aston Martin และ EON Productions ซึ่งหยิบจับเอา 2 โมเดลสำคัญอย่าง Aston Martin Vantage และ Aston Martin DBS Superleggera มาทำการปรับโฉมใหม่

เริ่มจาก Aston Martin Vantage 007 Edition ที่ได้แรงบันดาลใจในการตกแต่งมาจาก Aston Martin V8 เวอร์ชั่นคลาสสิคแห่งตอน The Living Daylights ปี 1987 ที่ดูเข้มด้วยโทนสีเทา Cumberland Grey และสร้างความโดดเด่นด้วยชุดกระจังหน้าแบบตาข่าย ล้อมกรอบด้วยโทนสีโครเมี่ยม พร้อมการเก็บรายละเอียดด้วยเส้นสายโทนสีเหลือง ในส่วนของชายล่าง ตั้งแต่ Splitter ด้านหน้า, สเกิร์ตข้าง และ Diffuser หลัง อีกทั้งยังสามารถติดตั้งราวแร็คด้านหลัง สำหรับยึดจับ Ski Rack แบบเดียวกับภาพยนตร์ตอน The Living Daylights ได้อีกด้วย

ด้านภายในห้องโดยสารเน้นความสปอร์๖ด้วยโทนสีดำ Obsidian Black ของวัสดุหนัง และการตกแต่งด้วยวัสดุโทรเมียมสีเข้ม Dark Chrome พร้อมด้วยการประทับตรา 007 ไว้บนคอนโซลหน้า และหัวเกียร์ อีกทั้งยังมีแผ่นบังแดดที่มากับตัวเลข 96.60 (FM) ที่หมายถึง คลื่นความถี่ของตำรวจรัสเซียที่ 007 ใช้ดักฟังเพื่อช่วยในการหลบหนีอีกด้วย ส่วนเบาะนั่งนั้นมากับสไตล์การตัดเย็บแบบย้อนยุค เพื่อสื่อถึงโมเดล V8 ในยุคปี 1980 โดยมีการออกแบบให้ด้านหลังเบาะทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ โดยนอกเหนือกจากงานดีไซน์ที่บ่งบอกความเป็นเวอร์ชั่นพิเศษแล้ว สิ่งสำคัญก็คือ Aston Martin Vantage 007 Edition จะมีการผลิตออกมาเพียง 100 คัน เพื่อจำหน่ายทั่วโลกเท่านั้น โดยจะมีให้เลือกทั้งรุ่นเกียร์อัตโนมัติ และเกียร์ธรรมดา

ต่อเนื่องกันอีกรุ่นกับ Aston Martin DBS Superleggera 007 Edition ที่มาพร้อมความทรงคุณค่ามากยิ่งขึ้น ด้วยจำนวนการผลิตที่มีเพียงแค่ 25 คัน เพื่อจำหน่ายทั่วโลก และมากับความพิเศษในแบบที่เรียกว่าเหมือนยนตรกรรม ซึ่งโลดแล่นอยู่ในภาพยนตร์ตอนใหม่ “No Time to Die” เลยทีเดียว

ตั้งแต่โทนสีภายนอกที่มากับสีเทาพิเศษ Ceramic Grey ตัดสลับด้วยโทนสีดำ และวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ ในส่วนของหลังคา, ครอบกระจกมองข้าง, Splitter และ Diffuser หลัง ตลอดจนสปอยเลอร์หลังแบบ Aeroblade IITM เสริมความดุดันด้วยล้ออัลลอยด์สีดำเงา Gloss Black ลวดลาย Y-Spoke ขนาด 21 นิ้ว ปิดท้ายด้วยการประทับตรา 007 บริเวณแก้มหน้า และสปอยเลอร์หลัง

ส่วนภายในห้องโดยสารสปอร์ตเต็มขั้นด้วยโทนสีดำ และยกระดับความสปอร์ตจากการตัดเย็บด้วยด้ายสีแดง พร้อมด้วยการประทับตรา 007 บนแผงประตู, พนักวางแขน และแผงลำโพงด้านหลัง โดยมีทีเด็ดเป็นกาบบันไดซึ่งมากับเลขบอกจำนวนการของโมเดล DBS Superleggera 007 Editions

ปิดท้ายด้วยขุมพลังที่ยังคงมากับความดุเดือดจากเครื่องยนต์เบนซินแบบ V12 พิกัด 5.2 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศ Twin-Turbocharged ซึ่งพกพาเรี่ยวแรงมาให้ใช้ในระดับ 715 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 900 นิวตันเมตร

 

CR.NetCarShow.com

Comments are closed.