Audi เอาใจสาวกความแรง ด้วยการเปิดตัวคู่แฝดรหัส “S” ใหม่ กับ Audi S3 ต่อยอดมาจากรุ่นมาตรฐาน A3 ที่มีให้เลือก 2 สไตล์ตัวถังมาตรฐานทั้งแบบ Sedan 4 ประตู และ Sportback 5 ประตู
โดยทั้ง 2 รุ่นยังคงใช้พื้นฐานของ Audi A3 เจนเนอเรชั่นล่าสุดเป็นหลัก ตามด้วยการขยับขยายมิติตัวถังใหม่ เช่น ความยาวในรุ่น Sportback ที่เพิ่มขึ้นอีกราว 4 ซม. และรุ่น Sedan ที่เพิ่มขึ้นอีก 3 ซม. ตามด้วยความกว้างของตัวถังของทั้ง 2 รุ่นที่เพิ่มขึ้นอีก 3 ซม.
ทำให้โดยสรุปรุ่น Sportback จะมีความยาวอยู่ที่ 4.34 ม. รุ่น Sedan จะมีความยาวอยู่ที่ 4.50 ม. ขณะที่ความกว้างของทั้ง 2 รุ่น คือ 1.82 ม. พร้อมด้วยความสูงที่ 1.43 ม. และความยาวฐานล้อที่ 2.64 ม. นอกจากนี้ยังมีผลลัพธ์ที่ทำให้รุ่น Sportback มีห้องเก็บสัมภาระขนาดใหญ่ขึ้น และสามารถปรับเพิ่มได้ตั้งแต่ 325 – 1,145 ลิตร โดยที่ในรุ่น Sedan จะมากับพื้นที่ห้องเก็บสัมภาระขนาด 370 ลิตร
ด้านงานออกแบบ ยังคงโดดเด่นด้วยชุดกระจังหน้าแบบ Singleframe ขนาดใหญ่ ประกบด้วยชุดกระจักมองข้างโทนสี Aluminum Look และชุดโป่งล้อที่กว้างขึ้น เสริมความเฉียบคมด้วยเส้นสันไหล่ตั้งแต่มุมมชุดไฟหน้าแบบ Matrix LED จรดมุมชุดไฟท้าย โดยมีด้านหลังนั้นที่หล่อเร้าใจด้วยชุดกันชนพร้อม Diffuser ขนาดใหญ่ ออกแบบให้รับกับชุดท่อไอเสียคู่ซ้าย-ขวา
ภายในห้องโดยสารสปอร์ตเต็มขั้นด้วยวัสดุอลูมิเนียม และคาร์บอนไฟเบอร์เป็นส่วนประกอบหลัก รับกับการติดตั้งเบาะนั่ง Sport Seats ที่ได้รับการออกแบบใหม่ เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ส่วนฟังค์ชั่นอำนวยความสะดวกยังครบครัน ด้วยชุดหน้าจอมาตรวัด Audi Virtual Cockpit ขนาด 10.25 นิ้ว ที่สามารถเลือกเป็นออพชั่นขนาด 12.3 นิ้วได้ ขณะที่หน้าจอระบบ Infotainment จะมากับระบบสัมผัสขนาด 10.1 นิ้วรองรับระบบ MMI เจนเนอเรชั่นที่ 3 ซึ่งประมวลผลได้รวดเร็วกว่าเดิมถึง 10 เท่า
ด้านไฮไลต์ของรหัสแรง Audi S3 ทั้ง 2 ตัวถัง คือ เรื่องของ “สมรรถนะ” ที่ปรับแต่งขึ้นใหม่ จากพื้นฐานเครื่องยนต์เบนซิน TFSI พิกัด 2.0 ลิตร แบบ 4 สูบ ที่จับคู่มากับระบบวาล์วแปรผัน AVS (Audi Valvelift System) และระบบอัดอากาศ Turbocharged จนทำให้มีพละกำลังสูงสุด 310 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดถึง 400 นิวตันเมตร
ส่วนระบบส่งกำลังจะมากับชุดเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด S Tronic พร้อมฟังค์ชั่นปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ Audi Drive Select โดยมีระบบขับเคลื่อนที่เป็นแบบ 4 ล้อ Quattro พร้อมการการันตีความเร้าใจ ด้วยอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 4.8 วินาที และตัวเลขความเร็วสูงสุดที่ทำได้ถึง 250 กม./ชม.
ระบบช่วงล่างได้รับการอัพเกรดขึ้นใหม่เป็นแบบ S Sport Suspension ซึ่งมาพร้อมระบบ Damper Control ที่ควบคุมแรงดันน้ำมันในตัวโช๊คอัพ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพถนน และสถานการณ์การขับขี่ ทั้งยังรวมถึงการเปลี่ยนช่วงล่างด้านหลังไปเป็นแบบ Four-Link และการลดความสูงลง 15 มม.
ขณะที่ระบบเบรกเป็นแบบดิสก์ทั้ง 4 ล้อ ที่เสริมประสิทธิภาพด้วยระบบ Electric Brake Booster ไปพร้อมกับเน้นความดุดันด้วยชุดคาลิปเปอร์สีดำ ที่เปลี่ยนเป็นออพชั่นชุดคาลิปเปอร์สีแดงได้ ส่วนล้ออัลลอยด์มาตรฐานจะมากับขนาด 18 นิ้ว โดยมีขนาด 19 นิ้วเป็นออพชั่น
CR.NetCarShow.com
