Subaru WRX เจนเนอเรชั่นที่ 5 เครื่องยนต์บล็อกใหม่

0

เรียกได้ว่าทำเอาสาวกตั้งตารอคอยกันเลยทีเดียว กับการมาถึงของ Subaru WRX เวอร์ชั่นล่าสุด ในฐานะทายาทเจนเนอเรชั่นที่ 5 ซึ่งมาพร้อมกับโดดเด่นแห่งการอัพเกรดที่บอกได้เลยว่า “ครบเครื่อง” โดยเฉพาะในรุ่นย่อยท็อปสุดอย่าง GTภายใต้พื้นฐานงานดีไซน์ที่ยอดเยี่ยมแห่งเวอร์ชั่นล่าสุด MY22

ไล่มาตั้งแต่รูปลักษณ์ภายนอกในสไตล์ Wide Body จับคู่กับเอกลักษณ์สำคัญ เช่น ชุดกระจังหน้าทรง 6 เหลี่ยม (Subaru’s Signature Hexagonal Grille) ประกบด้วยชุดไฟหน้าแบบ LED พร้อมช่องดักอากาศบนฝากระโปรงหน้า ที่ช่วยเพิ่มมิติความกว้างและความสดใหม่ได้ดียิ่งขึ้น รับกับเส้นสาย Character Lines ที่เด่นชัดตลอดเรือนร่าง

ทั้งยังเสริมความเป็นสปอร์ตซีดานสมรรถนะสูง ด้วยการใช้วัสดุอลูมิเนียมเข้ามาเป็นส่วนประกอบของตัวถัง ตลอดจนการเจาะช่องระบายอากาศบริเวณซุ้มล้อหน้า รวมถึงที่กันชนหลัง เพื่อทำการเพิ่มประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์ให้มากขึ้นอีกด้วย

ภายในห้องโดยสารมากับความสปอร์ตอันดุดัน จากการเลือกใช้โทนสีดำเป็นหลัก ตัดสลับด้วยรายละเอียดการตัดเย็บโทนสีแดง และวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์, พวงมาลัยมัลติฟังค์ชั่นทรง Flat-Bottom หุ้มหนัง แถมมาพร้อมความอเนกประสงค์จากเบาะนั่งด้านหลังที่ปรับพับได้แบบ 60/40

ส่วนจุดเด่นต้องยกให้การอัพเกรดฟังค์ชั่นอำนวยความสะดวก ที่มากับชุดหน้าจอกลางความละเอียดสูงระบบสัมผัสในสไตล์ Tablet ขนาดใหญ่ถึง 11.6 นิ้ว พร้อมระบบ SUBARU STARLINK Multimedia Plus รองรับการเชื่อมต่อได้ทั้ง Apple CarPlay®, Android Auto™ และการเชื่อมต่อ Bluetooth® ตลอดจนระบบความบันเทิงที่จัดเครื่องเสียงแบรนด์ Harman Kardon® พร้อมลำโพง 11 ตำแหน่งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

สำหรับสมรรถนะนั้นการันตีความเร้าใจมาให้ตั้งแต่ โครงสร้างตัวถังที่นำ Subaru Global Platform มาใช้เป็นครั้งแรก ซึ่งคุณสมบัติโดดเด่นก็คือออกแบบให้มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำลง เพื่อยกระดับการขับขี่ และการควบคุมที่ดีขึ้น ทั้งยังช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวถังมากกว่าเดิมราวๆ 28 % ตลอดจนช่วยเพิ่มความทนทานของช่วงล่างมากขึ้นถึง 75%

พร้อมด้วยการติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินบล็อกใหม่ในพิกัด 2.4 ลิตร Boxer เสริม Turbocharged ที่ควบคุมด้วยไฟฟ้า เพื่อช่วยให้การตอบสนอง รวดเร็วมากขึ้น โดยกำลังสูงสุดจะอยู่ที่ 271 แรงม้า มากับแรงบิดระดับ 350 นิวตันเมตร ตั้งแต่ 2,000 – 5,200 รอบต่อนาที ขณะที่ระบบส่งกำลังยังคงมีให้เลือก 2 รูปแบบ คือ เกียร์ธรรมดา 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติลูกใหม่ พร้อมแป้น Paddle Shift 8 สปีด ในชื่อเรียกว่า Subaru Performance Transmission ที่ตอบสนองได้เร็วขึ้นในการ 30% สำหรับการ Upshifts และ 50% ในการ Downshifts ทำงานร่วมกับระบบ Adaptive Shift Control เพื่อปรับการทำงานให้เหมาะสมกับการเข้าโค้ง เพื่อเสริมสมรรถนะการออกโค้งให้มีความรวดเร็วมากขึ้น ทั้งยังสามารถปรับเปลี่ยนเกียร์ได้จากแป้น Paddle Shift หลังพวงมาลัย และฟังค์ชั่นปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ SI-Drive Performance Management System

โดยระบบขับเคลื่อนนั้นก็ยังคงเป็นแบบ 4 ล้อ Subaru Symmetrical All-Wheel Drive ที่มากับระบบจัดสรรแรงบิด Active Torque Vectoring เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน พร้อมด้วยระบบพวงมาลัยใหม่แบบ Dual-Pinion ควบคุมด้วยไฟฟ้า และระบบช่วงล่างซึ่งได้รับการปรับเซ็ทใหม่แบบ Track-Tuned ซึ่งมีช่วงระยะการยืดยุบที่ยาวขึ้น เพื่อให้การตอบสนองที่ดีในทุกเส้นทาง เสริมด้วยการติดตั้งเหล็กกันโคลงหลัง ที่เปลี่ยนจุดติดตั้งใหม่ จากเดิมที่เชื่อมต่อกับชุดซับเฟรม มาเป็นเชื่อมต่อโดยตรงเข้ากับแชสซีส์ เพื่อช่วยลดการบิดตัวขณะเข้าโค้งมากขึ้น ก่อนจะปิดท้ายเรื่องเสถียรภาพด้วยล้ออัลลอยด์ที่มีทั้งขนาด 17 และ 18 นิ้วให้เลือกตามแต่ละรุ่นย่อย

นอกจากนี้ระบบความปลอดภัยยังเป็นอีกหนึ่งจุดที่ได้รับการใส่ใจมากขึ้น จากการติดตั้งระบบ EyeSight Driver Assist Technology เวอร์ชั่นล่าสุดที่เสริมระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ และระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน Advanced Adaptive Cruise Control with Lane Centering มาให้ในทุกรุ่น ตามมาด้วยชุดปั๊มเบรกแบบไฟฟ้า และระบบ Lane Departure Prevention ที่ทำงานได้อย่างนุ่มนวลมากขึ้น ไปจนถึงการเพิ่มเติมระบบบังคับเลี้ยวฉุกเฉิน Automatic Emergency Steering ซึ่งทำงานร่วมกับระบบเบรก Pre-Collision Braking System สำหรับช่วยควบคุมพวงมาลัย เพื่อหลีกเลี่ยงการชนที่ความเร็วต่ำกว่า 50 ไมล์/ชม. อีกด้วย

 

CR.NetCarShow.com

Comments are closed.