Mercedes-AMG SL 43 ตัวแรงเปิดประทุน

0

ถ้าฝันของคุณก็คือการมี ยนตรกรรมเปิดประทุนสมรรถนะสูงไว้ในครอบครองซักคัน เราเชื่อว่า Mercedes-AMG ได้ส่งคำตอบมาให้เลือกเป็นเรียบร้อยแล้วกับ 2 ตัวแรงเปิดประทุน SL – Class ที่มีทั้งรหัส SL 55 เรี่ยวแรง 476 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร และตัวท็อปความโหดรหัส SL 63 4MATIC+ ที่เหนือชั้นด้วยพลังระดับ 585 แรงม้า และแรงบิดมหาศาลถึง 800 นิวตันเมตร … ซึ่งแน่ล่ะว่าทั้ง 2 รุ่นคงถูกใจนับขับสายฮาร์ดคอร์ ที่ชื่นชอบสายลม และแสงแดดเป็นหลัก จนน่าจะกลายเป็นความ “น้อยใจ” ให้ลูกค้าที่น่าจะชอบความโหดร้าย “น้อยลง” อีกหน่อย

เพราะฉะนั้นเราจึงได้เห็นสมาชิกใหม่ล่าสุดจาก Mercedes-AMG ในตระกูล SL – Class ซึ่งเปิดตัวขึ้นด้วยรหัส SL 43 ที่เรี่ยวแรงน้อยลงมานิด ด้วยพื้นฐานของเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร แต่ก็พิชิตใจสาวกด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ เช่น เทอร์โบไฟฟ้า Electric Exhaust Gas Turbocharger ที่หยิบยกมาจาก Mercedes-AMG Petronas F1 Team เสริมทัพด้วยระบบ Mild Hybrid ขนาด 48 โวลท์ จนได้กำลังสูงสุดที่ 381 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร ในรอบเครื่องราวๆ 3,250 -5,000 รอบต่อนาที ซึ่งระบบ Mild Hybrid จะมีตัวช่วยอีก 14 แรงม้าในช่วงเวลาสั้นๆ

ระบบส่งกำลังยังคงทำหน้าที่โดยเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด AMG SPEEDSHIFT MCT (Multi-Clutch Transmission) 9G มาพร้อมฟังค์ชั่นปรับรูปแบบการขับขี่ AMG DYNAMIC SELECT ถึง 5 โหมด ประกอบด้วย Slippery, Comfort, Sport, Sport + และ Individual ส่วนการขับเคลื่อนความเร้าใจเป็นหน้าที่ของล้อคู่หลัง ซึ่งเคลมอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. เอาไว้ที่ 4.9 วินาที กับท็อปสปีดสูงสุดที่ 275 กม./ชม.

อีกทั้งยังมีระบบช่วงล่างที่พัฒนาขึ้นใหม่ เพื่อให้มีน้ำหนักลดลง ด้วยโช๊คอัพทำจากอลูมิเนียม พร้อมคอยล์ปริงน้ำหนักเบา ตลอดจนเป็นครั้งแรกของ Mercedes-AMG ที่ออกแบบในส่วนของช่วงล่างด้านหน้าเป็น Multi-Link (5 Link) ซึ่งมากับด้านหลังที่เป็นแบบ 5 Link ตลอดจนมีฟังค์ชั่น AMG RIDE CONTROL มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เช่นเดียวกับระบบเบรก AMG High-Performance ที่อัพเกรดขึ้นใหม่ให้มีระยะเบรกที่สั้นมากขึ้น โดยครอบทับไว้ด้วยล้อ ขนาด 19 นิ้วทั้ง 4 ล้อ

โดยถ้าไม่นับเรื่องสมรรถนะที่น้อยกว่ารุ่นพี่  … Mercedes-AMG SL 43 เรียกได้ว่ายังคงสืบทอดสไตล์ความเป็น AMG Driving Performance อย่างครบถ้วนเช่นกัน ตั้งแต่โครงสร้างตัวถังที่เน้นความเบาแรง แต่แข็งแกร่งด้วยวัสดุอลูมิเนียม, แม็กนีเซียม, เหล็ก และไฟเบอร์ จนได้มาซึ่งคุณสมบัติโดดเด่น ตั้งแต่การมีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำ ทั้งยังการทนทานต่อแรงบิดเพิ่มขึ้น 18%

รูปลักษณ์มีความต่างจากรุ่นพี่เล็กน้อย แต่ก็ยังคงเต็มเปี่ยมด้วยผลงานด้านอากาศพลศาสตร์ ที่ลงตัวกับโมเดล SL ซึ่งมีฐานล้อที่ยาว และโอเวอร์แฮ็งค์สั้น เช่น ระบบควบคุมอากาศ AIRPANEL แบบ Active ที่สามารถกำหนดทิศทางกระแสลมได้ตามความต้องการ ตั้งแต่ช่องดักอากาศกระจังหน้า ไปจนถึงสปอยเลอร์บนฝากระโปรงหลังที่ปรับองศาได้ถึง 5 ระดับ เมื่อใช้ความเร็วตั้งแต่ 80 กม./ชม. ขึ้นไป

นอกจากนี้ตัวหลังคาผ้าใบแบบ Soft Top ควบคุมด้วยไฟฟ้า ยังมาพร้อมกับน้ำหนักที่เบาเพียง 21 กก. เพื่อช่วยในเรื่องของการสร้างจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ทั้งยังมอบความสะดวกในการใช้งานด้วยการเปิด-ปิดที่รวดเร็วเพียง 15 วินาที ภายใต้ความเร็วไม่เกิน 60 กม./ชม.

ส่วนภายในห้องโดยสารมากับนิยาม “Hyperanalogue” ที่ผสมผสานด้วยมาตรฐานของความหรูหรา เช่น มาตรฐานการเลือกใช้วัสดุอย่าง หนัง ARTICO และผ้า ขณะที่ไฮไลต์สำคัญต้องยกให้กับชุดหน้าจอมาตรวัดแบบ LCD ความละเอียดสูงขนาด 12.3 นิ้ว และหน้าจอกลาง ซึ่งมากับระบบ MBUX Infotainment System เจนเนอเรชั่นล่าสุด แถมยังสามารถปรับองศาเพื่อเลี่ยงแสงสะท้อนได้ตั้งแต่ 12 – 32 องศา

 

 

Comments are closed.