New Suzuki Ertiga Smart Hybrid ปรับโฉมรถครอบครัวตัวเลือกสุดคุ้ม

0

หลังจากปล่อยข่าวให้ชาวสื่อสายยานยนต์ตื่นเต้นมาพักใหญ่ ในที่สุด บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จํากัด ก็ร่อนหมายเชิญเข้าร่วมทดสอบ New Suzuki Ertiga Smart Hybrid อย่างเป็นทางการ ซึ่งแม้ครั้งนี้จะหอบหิ้วกันไปไกลถึงจังหวัดเชียงใหม่ แต่ก็ไม่สามารถทำให้เรายอมพลาดโอกาสได้สัมผัสเทคโนโลยีล่าสุดจาก “ค่ายซูซูกิ” อย่างแน่นอน

Suzuki Ertiga Smart Hybrid

ราคาจำหน่ายในประเทศไทย

รุ่น GL         783,000 บาท

รุ่น GX         839,000 บาท

สำหรับโปรแกรมการทดสอบครั้งนี้ เริ่มจากการเรียนรู้ในความเปลี่ยนแปลงของตัวรถจาก Suzuki Ertiga เจนเนอเรชั่นเดิมมาสู่ เวอร์ชั่นปี 2023 ซึ่งรายละเอียดรูปลักษณ์ภายนอกที่มีความเปลี่ยนแปลงหลักๆ เลย คือ ชุดกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ และคิ้วโครเมี่ยมบริเวณท้ายรถ พร้อมด้วยการแปะโลโก้ Hybrid สีฟ้าเอาไว้ที่ใต้ป้ายชื่อรุ่น

ส่วนภายในห้องโดยสารยังคงมากับอารมณ์ของงานดีไซน์ที่ค่อนข้างคุ้นเคย แต่มีการปรับอารมณ์ให้สดใหม่ด้วยรายละเอียดการตกแต่ง เช่น ลายไม้สีใหม่ และลายผ้าหุ้มเบาะนั่ง แถมด้วยรุ่นที่เรากำลังจะได้ลองขับ คือ รุ่นย่อยสูงสุดอย่าง GX

เพราะฉะนั้น “ออพชั่น” ที่มีมาให้จึงอัดแน่นไปตามมาตรฐาน เช่น มาตรวัดที่มาพร้อมหน้าจอขนาด 4.2 นิ้ว สำหรับแสดงผลข้อมูลการขับชี่, พลังงานแบตเตอรี่ และ Driving G Force

ต่อเนื่องด้วยระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) และความสะดวกสบายจากระบบ Wireless Charger, ระบบไฟหน้าเปิด-ปิดอัตโนมัติพร้อมฟังก์ชัน GuideMe ตลอดจนกระจกมองข้างพับอัตโนมัติ ซึ่งสารภาพตามตรงว่าเราแอบหาวิธีกางกระจกอยู่พักใหญ่ ก่อนจะถึงบางอ้อว่า ต้องกดปุ่ม Push Start ค้างเอาไว้เล็กน้อย เจ้ากระจกมองข้าง จึงจะกางออกมาให้โดยอัตโนมัตินั่นเอง

Suzuki Ertiga Smart Hybrid

Suzuki Ertiga Smart Hybrid

ไฮไลต์ที่สำคัญแน่นอนว่าต้องเป็นเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อน ซึ่งเกิดขึ้นจากการผสมผสานของเครื่องยนต์เบนซินรหัส K15B แบบ 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร และมอเตอร์ Integrated Starter Generator (ISG) ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ Lithium-ION ขนาด 6Ah 12V ติดตั้งอยู่ใต้เบาะผู้โดยสารตอนหน้า โดยหน้าที่หลักของเค้าก็คือช่วยเสริมการทำงานของเครื่องยนต์

โดยกำลังสูงสุดที่มีมาให้ใช้ คือ 105 แรงม้า มาพร้อมแรงบิด 138 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด สู่ล้อหน้า รองรับด้วยช่วงล่างแบบ แม็กเฟอร์สัน สตรัท พร้อมคอยล์สปริง และทอร์ชั่นบีม พร้อมคอยล์สปริง ควบคุมโดยระบบพวงมาลัยแบบ แร็คแอนด์พิเนี่ยน และหยุดยั้ง ผ่านระบบเบรกแบบดิสก์ พร้อมช่องระบายความร้อนด้านหน้า และแบบดรัมในด้านหลัง

และเมื่อเรารู้จักตัวรถคร่าวๆ กันเป็นที่เรียบร้อย คิวต่อไปก็ถึงคราวลองของจริง โดยเส้นทางครั้งนี้จะเริ่มจากโรงแรมสวยย่านกลางเมือง ใกล้ถนนนิมมานเหมินท์ มุ่งหน้าออกนอกเมืองไป อ. แม่ริม เพื่อพักดื่มกาแฟ จากนั้นจึงกลับเข้าเมืองมาอีกครั้ง เพื่อรับประทานอาหารกลางวัน สิริรวมเส้นทางสั้นๆ ราว 60-70 กม.

แต่ก็มากพอที่จะสรุปให้ฟังได้ว่า New Suzuki Ertiga Smart Hybrid มีจุดดีที่สัมผัสได้เป็นอย่างแรก คือ การตอบสนองที่ดีขึ้น อันเป็นผลพวงมาจากการทำงานร่วมกันของเครื่องยนต์ และมอเตอร์ ISG ในการช่วยเสริมแรงอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงของการออกตัว หรือการเร่งแซง จะรู้สึกได้เลยว่าไม่ต้องใช้คันเร่งเยอะ เหมือนที่เคยขับในรุ่นเครื่องยนต์สันดาปภายใน ซึ่งข้อดีก็คือ รอบเครื่องไม่สูง และเสียงไม่ลั่น ก็สร้างความกระฉับกระเฉงในการขับขี่ได้อย่างง่ายดาย

ทั้งนี้ทั้งนั้น หากกดคันเร่งลึก หรือเผลอ Kick Down มอเตอร์ ISG ก็จะหยุดการทำงานลง เหลือเพียงเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตรเป็นหลัก ฉะนั้นหากต้องการทำความประหยัดอัตราสิ้นเปลืองให้ดี พฤติกรรมที่ใช้ในการขับขี่ควรเป็นการเพิ่มน้ำหนักคันเร่งอย่างนุ่มนวล และต่อเนื่อง ผลลัพธ์น่าจะออกมาดีกว่า

อีกหนึ่งการทำงานที่จะช่วยสร้างความประหยัดมากขึ้น ก็คือ ใช้งานร่วมกับระบบ Idling Stop ด้วยเพราะเงื่อนไขการทำงาน ก็คือ ครั้งแรกของการสตาร์ท จะเป็นหน้าที่ของเครื่องยนต์ แต่หลังจากนั้นตลอดการขับขี่ หากระบบ Idling Stop ทำหน้าที่ดับเครื่องยนต์ การสตาร์ทครั้งต่อไปก็คือหน้าที่ของมอเตอร์ ISG นั่นเอง

แถมสิ่งที่ดีงามกว่า จนสัมผัสได้ก็คือ การสตาร์ทโดยมอเตอร์ ISG นั้นมีความรู้สึกนุ่มนวล และเงียบมากขึ้นกว่าการสตาร์ท ด้วยมอเตอร์สตาร์ทจากเครื่องยนต์ซะด้วยซ้ำ

ส่วนอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่มีการเคลมเอาไว้ ก็คือ รวมๆ แล้วดีขึ้นจากเดิม 15.9 กม./ลิตร เป็น 17.9 กม./ลิตร ซึ่งทีเด็ดก็คือตัวเลขการใช้งานในเมืองที่มีความยอดเยี่ยมเห็นเลยก็คือ จาก 12.7 กม./ลิตร เป็น 15.9 กม./ลิตร เรียกได้ว่าแค่เห็นตัวเลข เราก็คาดได้เลยว่า New Suzuki Ertiga Smart Hybrid เหมาะสมที่จะเป็นยนตรกรรม สำหรับใช้ในชีวิตประจำวันของคนเมืองอย่างชัดเจนเลยทีเดียว

ด้านภาพรวมของการขับขี่ บอกได้เลยว่ามีความคล้ายกับ Suzuki Ertiga เวอร์ชั่นเครื่องยนต์สันดาปภายในไม่น้อย ตั้งแต่น้ำหนักพวงมาลัยที่เบาแรงในความเร็วต่ำ และให้ความคล่องตัวได้ดี ขณะที่ความเร็วสูงก็ไม่ด้อยความมั่นใจผู้ขับขี่ เช่นเดียวกับการปรับเซ็ทของระบบช่วงล่างที่เน้นไปในทางให้ความนุ่มสบายในการโดยสาร แต่ก็มีการทรงตัวที่ดีมากพอ ทั้งในความเร็วสูง และความเร็ว รวมถึงในทางโค้งมากมายหลายองศาที่ได้พบเจอ อันเป็นอานิสงส์จากโครงสร้างแพลตฟอร์ม HEARTECT เทคโนโลยีเฉพาะของซูซูกิ

Suzuki Ertiga Smart Hybrid

นอกเหนือจากทั้งหมด ทั้งมวลที่กล่าวมาแล้ว ลึกๆ เรายังรู้สึกถึงบางอย่าง ซึ่งนั่นคือ “ฟิลลิ่งหนักๆ” ที่เกิดขึ้นทั้งจาก “เสียง” เวลาผ่านรอยต่อถนน ไปจนถึงการทำงานของช่วงล่างที่บางจังหวะสัมผัสได้ถึง “ความแน่น” ซึ่งอันนี้ไม่แน่ใจสาเหตุ เพราะอีกใจก็คิดว่าอาจะเป็นเพราะความสดใหม่ของตัวรถ

แต่อีกใจก็คิดว่าอาจจะเป็นเพราะน้ำหนักตัวรถที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้จุดศูนย์ถ่วงเปลี่ยนไป จนถึงอาจจะเลยเถิดไปทำให้เกิดการปรับเซ็ทช่วงล่างใหม่ หรือท้ายที่สุดแล้วอาจเป็นแค่ “จิตปรุงแต่ง” ของเราที่รู้สึกก็เป็นได้

แต่สรุปท้ายสุดแล้วจริงๆ หลังจากลองขับ New Suzuki Ertiga Smart Hybrid คือ ยนตรกรรม 3 แถว 7 ที่นั่ง ซึ่งมากับความสะดวกมากกว่าเดิมด้วยออพชั่น และเหนืออื่นใด คือ สามารถขับขี่ใช้งานได้สบายขึ้นกว่าเจนเนอเรชั่นที่ผ่านมาจริงๆ

Comments are closed.